เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ ต.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ สัจธรรม สัจธรรมมันคงที่ของมัน ดูพระเรา เข้าพรรษาก็ถือธุดงค์ กระฉับกระเฉงเพื่อสงวนเวลาไว้เพื่อฝึกสติปัญญา ออกพรรษาแล้ว ออกพรรษาแล้วนะ ออกพรรษาแล้วก็ต้องกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม กระฉับกระเฉงเหมือนเดิมนะ แต่ออกพรรษา-เข้าพรรษาแตกต่างกัน เพราะออกพรรษา ออกพรรษาพระมีอิสระ พระจะออกวิเวกก็ได้ ออกธุดงค์ก็ได้ ทำสิ่งใดไม่มีอธิษฐานพรรษาบังคับไว้ แต่ในพรรษานะ ในพรรษา ๓ เดือน เราไม่ออกไปค้างแรมที่ไหน ถ้าไม่ได้สัตตาหกรณียะ

สิ่งที่ออกพรรษา-เข้าพรรษามันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม แต่บุคคลเขาก็คนเดิมนั่นแหละ หัวใจเขาหัวใจเดิมนั่นแหละ

เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าเกิดมามีสติปัญญาขึ้นมา คนนั้นจะเป็นคนที่มีคุณธรรม คนที่มีคุณธรรม ลูกก็เป็นลูกที่ดี โตขึ้นมาจะมีสติมีปัญญา จะทำสิ่งที่ดีงาม แต่เวลาถ้าเกิดมา เกิดโดยอำนาจวาสนาของคน มันมีเวรมีกรรมมาต่อกัน จะมีความขัดแย้ง มีความกระทบกระเทือนกันในหัวใจตลอดไป

คนก็คือคน เวลาคนก็คือคน แต่จิตใจของเราเวียนว่ายในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิด ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั่นเรื่องของเขา แต่ของเรา เวลาเกิดมาแล้วเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาทำหน้าที่การงานมันก็ลุ่มๆ ดอนๆ คนเราเกิดมา กรรมดีกรรมชั่ว ทุกดวงใจทำความดีมา ทำความผิดพลาดมา จะไม่มีดวงใจดวงใดทำแต่ความดีมาตลอด เว้นไว้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว พยากรณ์แล้ว การทำดี ทำดีถึงที่สุด การเสียสละอย่างนั้นมันเป็นประเพณีวัฒนธรรม

แต่พระพุทธศาสนาเวลาทำประเพณีวัฒนธรรม ก็จะไปทำประเพณีวัฒนธรรมตั้งแต่ทศชาติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียร ทำเสียสละในทางโลกขนาดไหน บำเพ็ญเพียรๆ เสียสละขนาดนั้นมา ถึงเวลาบารมีเต็มมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้มาด้วยมรรคญาณ ตรัสรู้มาด้วยมรรค ด้วยปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การจะตรัสรู้นั้นต้องมีอำนาจวาสนา การที่มีอำนาจวาสนา การสร้างสมมาอย่างนั้นทำให้มีบารมี มีบารมีคือมีสติมีปัญญา มีการคิดค้นที่ลึกซึ้งกว่าเรา ถ้าลึกซึ้งกว่าเรา เราก็มีสติมีปัญญาเราก็คิดค้นของเรา เราคิดค้นของเรา ดูสิ เวลาอาชีพ หน้าที่การงานของเรายังล้มลุกคลุกคลานของเราเลย แล้วพอล้มลุกคลุกคลานแล้วมันก็ซ้ำเติมหัวใจของเรา เราเคยเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา คนเราถ้าไม่มีสติปัญญาของเขา เขาก็เพลิดเพลินในชีวิตทางโลกของเขา

เราเกิดมานะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเราก็ต้องมีสัมมาอาชีวะของเรา แต่สัมมาอาชีวะของเรา สัมมาอาชีวะที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลี้ยงหัวใจของเรา

ถ้าหัวใจของเราขุ่นมัว หัวใจของเรามีความทุกข์ความยากขึ้นมา ทำสิ่งใดมันก็กดดันหัวใจทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา สิ่งที่กดดันๆ กดดันก็เรากดดันหัวใจของเราเอง ถ้าเรามีสติปัญญา สิ่งนี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ความทุกข์ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นความทุกข์ สิ่งใดเป็นความทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา คือมันอยู่ชั่วคราว ถ้าเรามีสติปัญญามันก็จะผ่านพ้นวิกฤติอันนี้ไป

แต่ถ้าเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันก็ไปเหนี่ยวรั้งอันนี้ไว้ ทุกข์แล้วทุกข์เล่า เหยียบย่ำตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้ามีสติปัญญา มันก็เป็นความจริงอันหนึ่ง การกระทบกระทั่งกันมันเป็นความจริงอันหนึ่ง แต่มีความจริงโดยที่มีสติปัญญาใคร่ครวญ มันเป็นความจริงอันหนึ่ง เรามีสติปัญญา เรามีสติปัญญา มันก็เป็นความจริงอันหนึ่ง มันยอมรับในหัวใจ มันก็ไม่บีบคั้นหัวใจเราจนเกินไป หน้าที่การงานก็ต้องเป็นหน้าที่การงานต่อไป

แต่ถ้ามันมีความกดดันในหัวใจแล้ว ธรรมะนี้เป็นธรรมโอสถ เป็นการรักษาหัวใจ ถ้ารักษาหัวใจให้หัวใจมันเบิกบาน ให้หัวใจมันผ่องแผ้ว ให้หัวใจมันต่างๆ แต่ก็ต้องทำหน้าที่การงานเหมือนกัน

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ไปฉันอาหารของนายจุนทะแล้วต้องเดินไป ย่างด้วยพระบาทไป จะไปปรินิพพาน “อานนท์ เรากระหายเหลือเกิน เรากระหายเหลือเกิน ตักน้ำมาให้เราฉันเถอะ เรากระหายเหลือเกิน”

สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ธาตุ ๔ เห็นไหม “อานนท์ สภาพร่างกายนี้มันเหมือนเกวียนที่ชราคร่ำคร่า เราจะไปทิ้งมันคืนนี้ คืนนี้เราจะไปสละทิ้งมันแล้วล่ะ แต่ตอนนี้เราต้องอาศัยเกวียนนี้ไป เราต้องเดินไป มันขาดน้ำ”

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจัยเครื่องอาศัย ก็ต้องรักษาร่างกายนี้ไป ร่างกายนี้มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ มันต้องมีอาหารของมัน มันต้องมีสิ่งใดจุนเจือในร่างกายนี้เพื่อให้ผ่อนคลาย เพื่อให้มันมีกำลังของมัน สติปัญญาของเราถ้ามันเป็นธรรมโอสถมันก็เลี้ยงหัวใจของเราไง ถ้าเลี้ยงหัวใจของเรา เวลาพระอานนท์ ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน คร่ำครวญนะไปเกาะกลอนประตูคร่ำครวญร้องไห้ “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานคืนนี้แล้ว เรายังเป็นพระโสดาบันอยู่ เรายังต้องการครูบาอาจารย์ชี้นำต่อไป”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามองหาพระอานนท์ไม่เจอ ถามพระว่า “อานนท์ไปไหน”

“อานนท์ไปเกาะกลอนประตูร้องไห้อยู่นั่น”

“ไปเรียกอานนท์มา ไปเรียกอานนท์มา”

“อานนท์ ในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตกาล ผู้ที่จะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะไม่มีใครอุปัฏฐากได้มากเท่าเธอ เธอได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เธอได้สร้างบุญกุศลเอาไว้แล้ว อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีสังคายนา วันนั้นเธอจะได้เป็นพระอรหันต์”

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ ทำบุญกุศลๆ สิ่งนี้มาก็เพื่อประโยชน์ๆ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาร่างกาย ธาตุ ๔ เราต้องทิ้งมันไป เกวียนที่ชราคร่ำคร่า คืนนี้เราจะไปทิ้งมันแล้ว ทิ้งมันก็ต้องนิพพานไป พระอานนท์ก็เข้าใจ แต่ก็อยากจะรั้งไว้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์ไปแล้วมันเข้าใจหมด มันเป็นธรรมดา มันเป็นอย่างนี้ สัจธรรมมันเป็นอย่างนี้ แต่หัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิมุตติสุข พ้นจากไป แต่พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันยังมีกิเลสอยู่ ยังจะต้องขวนขวายอยู่ ก็ต้องการการชี้นำ นี่มุมมองต่างกัน

เวลาปุถุชนคนหนา ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไป ภิกษุเฒ่า “องค์สมเด็พจระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานก็ดีแล้ว เวลาอยู่ จ้ำจี้จ้ำไช องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่อยู่แล้ว เราจะได้รื่นเริงเสียที” พระกัสสปะได้ฟังแล้วมันสะเทือนใจ ขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานยังเป็นอย่างนั้นเลย นี่คนที่มีคุณธรรมในหัวใจ

ดูสิ เวลาเราเป็นปุถุชน คนที่มีสติมีปัญญาสร้างบุญกุศลมา คิดแต่เรื่องดีๆ มีความกตัญญูกตเวที ทำสิ่งใดก็เพื่อประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับพวกเรา ถึงที่สุดแล้วผลตอบสนองมามันก็มีความอบอุ่น สังคมเราก็จะมีความสุขไปด้วย ถ้าเราต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างแย่งชิงกันไป สังคมนั้นมันก็คลอนแคลน สังคมนั้นก็ไม่เป็นความสุขแล้ว แล้วเราอยู่ในสังคมนั้นเราก็หวาดระแวงไปตลอด

แต่ถ้าคนมีสติปัญญา เขาทำของเขาๆ ทำเพื่อประโยชน์ของเขา เพราะอะไร ปัจจัยเครื่องอาศัยก็แค่บำรุงร่างกายนี้เท่านั้น ถ้าเรามีน้ำใจของเรา เราสละ เราเจือจานออกไป สังคมก็ร่มเย็นเป็นสุข สังคมก็ได้จากเราไป ถ้ามีสิ่งใด เขาก็ปกป้องดูแลเรา ปกป้องดูแลเราเพราะมันมีบุญคุณไง เขามีคุณต่อเรา เขามีคุณต่อเรา เขามีคุณต่อเรา ถ้าเขามีคุณต่อเรา เรามีสิ่งใด เราก็ต้องระลึกถึงเขา เพราะเขามีคุณต่อเรา แต่เขามีแต่สิ่งบาดหมางต่อเรา สิ่งบาดหมางต่อเรา เวลามีสิ่งใดขึ้นมา เราจะเอาอะไร เราก็เอาตัวรอดเราก่อน เพราะเขาเป็นคนอย่างนั้นน่ะ

นี่ไง เวลาเสียสละ เสียสละเพื่อเหตุนี้ เสียสละเพื่อเหตุนี้ขึ้นมา แล้วเสียสละขึ้นมามันมีบารมี บารมี สิ่งที่บารมีในหัวใจของเรา เรารู้ ความลับไม่มีในโลก เราเป็นคนเสียสละของเราเอง เราทำของเราเอง ธรรมโอสถมันเกิดตรงนั้นไง ธรรมโอสถเกิดที่ว่าในหัวใจเรามันผ่องแผ้ว ในหัวใจเรารู้ไง แต่ถ้ามันเกิดวิกฤติ เกิดกับการดำรงชีวิตของเรา อันนี้มันก็เป็นกรรมเก่ากรรมใหม่ มันเป็นสัจธรรม

ถ้าเราไม่ทำสิ่งใดมา สิ่งนั้นมันก็จะไม่กระทบกระเทือนกับเรา แต่ถ้าเราทำสิ่งใดมา เราจะปฏิเสธขนาดไหน อนาคตกาล อนาคตกาลเราไปเกิดภพใดชาติใด สิ่งนั้นมันจะเกิดขึ้นมา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การกระทำ เราเคยทำคุณงามความดีไว้ แต่ในปัจจุบันนี้เรายังไม่รู้สิ่งใดเลย เอ๊ะ! ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมคนเขาจะเชิดชู ทำไมคนเขามาคอยบริการ นี่เรารู้ของเรา

ไม่ใช่ทางโลก ทางโลกเป็นธุรกิจบริการ เป็นโรงแรมสิ เขาดูแลเรียบร้อยเลย จ่ายสตางค์ๆ ไอ้นี่เป็นเรื่องโลก โลกเขาคิดกันได้ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องธรรม เรื่องที่ว่าเราไม่รู้จักเขา ไม่รู้จักเขา เขามาจากไหนก็ไม่รู้ ทำไมเขามีน้ำใจต่อเรา นี่ไง อนาคตกาลไง เราทำคุณงามความดีของเราไว้ สิ่งที่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันต้องประสบแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้นแหละ สัจจะความจริงมันเป็นสัจจะความจริง เพราะมีการกระทำ

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แล้วถ้าเราทำของเราๆ เราทำของเรา ใครจะรู้ไม่รู้นั่นเรื่องของเขา เราไม่ต้องทำสิ่งใดให้คนเขานับหน้าถือตา ทำสิ่งใดให้คนเขาเชื่อถือศรัทธา ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอก เพราะเขาต้องการทำอย่างนั้น โลกถึงเป็นอย่างนี้ไง ทำสิ่งใดก็ แหม! ประชาสัมพันธ์อยู่นั่นแหละ มาเชิดหน้าชูตากันน่ะ แล้วก็ไปฉกฉวยคุณงามความดีกัน แย่งชิงกัน โลกเป็นอย่างนั้น

เราทำของเราๆ ใครจะว่าโง่ ใครจะว่าเซ่อก็เรื่องของเขา แต่เราชนะกิเลสของเรา เราชนะหัวใจของเรา ดูสิ เวลาคนที่เขาต้องการคุณงามความดี เขาต้องแย่งชิงกัน แต่เสร็จแล้วมันมีสิ่งใดล่ะ สุดท้ายก็จบลงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ สุดท้ายไปจบลงด้วยการกดดันหัวใจ แต่พวกเรานี่สบาย อยู่ที่ไหนก็สบาย เออ! ทำแล้วก็แล้วกัน ทำจบแล้ว เราสบายใจ เราสบายของเรา แต่มันต้องได้สร้างสมบุญญาธิการ สร้างสมขึ้นมาให้จิตใจมันเข้มแข็ง

ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็ง มันอ่อนแอ พออ่อนแอแล้วล้มลุกคลุกคลาน พอล้มลุกคลุกคลาน กิเลสมันได้ช่องไง พอกิเลสได้ช่อง มันซ้ำเติมทันทีเลย “เกิดมาทำดีแล้วก็ไม่ได้ดี ทำแล้วก็ไม่ได้”

ทำดีแล้วไม่ได้ดี นั่งสมาธิ ถ้าจิตเป็นสมาธิมันก็เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เราก็รู้ของเราเอง เวลาจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา เราก็รู้ของเราเอง พอเรารู้ของเรา เราปลื้มใจ เราภูมิใจ เราภูมิใจว่าเราทำได้ มันเป็นความมหัศจรรย์

ดูปัญญาของโลกเขาสิ เขามีการศึกษาขนาดไหน เขามีปัญญาขนาดไหน เขาต้องตายทั้งนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ คืนนี้เราจะไปสละเกวียนเล่มเก่าที่มันชราคร่ำคร่าอยู่แล้ว เราจะสละมันทิ้ง เราจะสละเกวียนเล่มนี้ทิ้ง จบกันเสียที ลาวัฏฏะเสียที ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด นี่มีปัญญา มีปัญญาเข้ามาถึงหัวใจ มันชำระล้างให้สะอาด ไอ้ของเราเขาว่ามีปัญญาๆ ปัญญาเอาตัวรอดได้ไหม ปัญญานี้

ทุกดวงใจว้าเหว่ ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจ ดูสิ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจังมันเปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลง ดูสิ เด็กวัยรุ่น ตั้งแต่เด็กขึ้นมามันเปลี่ยนแปลงให้เจริญงอกงามขึ้นมา เขาจะเติบโตขึ้นมา ไอ้ของเราก็เปลี่ยนแปลงนะ เปลี่ยนแปลงไปชราคร่ำคร่า เปลี่ยนแปลงไปรอวันตายข้างหน้า โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงหมด แต่มันมีคนได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ไง

เวลาเปลี่ยนแปลง เด็กมันเจริญเติบโตขึ้นมา การเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงให้มันงอกงามขึ้นมา ไอ้ของเราก็ต้องเปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนแปลงไปด้วยความชราคร่ำคร่า สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา นี่คือสัจจะ ถ้าสัจจะเป็นอย่างนั้น เวลาเราจะเปลี่ยนแปลง เราเปลี่ยนแปลงให้มันดีงามขึ้นมา

ดูสิ เวลาทางวัตถุทางร่างกาย เด็กมันต้องเจริญเติบโตขึ้นมา คนแก่คนเฒ่าต้องชราคร่ำคร่าไป แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา รัตตัญญู เราเป็นผู้ที่ผ่านราตรี ผู้ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมา มันเจริญงอกงามขึ้นไป มันสละของมันไป สละของมันไปจนมันพ้นจากการเปลี่ยนแปลง ถ้ามันพ้นจากการเปลี่ยนแปลง มันเติบโตขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป แล้วมันเติบโตที่ไหนล่ะ มันเติบโตขึ้นมาด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา

ดูพระเราสิ บวชมาตั้งแต่สามเณรน้อย บวชมาทั้งชีวิต แล้วบวชมาทั้งชีวิต ชีวิตมีความสุขตรงไหน แต่ถ้ามันทำความสงบของใจเข้ามา โอ้โฮ! ชีวิตเป็นอย่างนี้ มันมีความสุข มีความสุข ไอ้สิ่งรอบข้างมันเป็นปัจจัย ๔ จริงๆ นะ

ดูพระสิ พระเรา ดูสิ หลวงตาท่านพูดประจำ ขอให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเถิด อยากให้เห็นนักว่าพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วบิณฑบาตไม่ได้ข้าวตกบาตร อยากเห็นนัก อยากเห็นคนทำดีแล้วคนเขาทอดทิ้ง สังคมทอดทิ้ง เห็นไหม ท่านยืนยันตลอด

ปัจจัย ๔ เราแสวงหา ปากกัดตีนถีบ พระเราแสวงหาด้วยลำแข้ง เช้าออกบิณฑบาตเป็นวัตร สังคมถ้ามีความสงบร่มเย็น บิณฑบาตกลับมาเต็มบาตร เต็มบาตรแล้วเราก็เจือจาน พระก็ฉันแค่มื้อเดียว สิ่งที่เหลือแล้ว ผู้ที่มาอาศัยวัด ผู้ที่มาอยู่ดูแลวัด เสร็จแล้วให้สัตว์ให้ต่างๆ เพื่อประโยชน์กับโลก เขาก็ได้บุญของเขา ถ้าสังคมมันขาดแคลน เวลาเกิดภัยแล้งเกิดต่างๆ เขาก็ต้องปากกัดตีนถีบของเขา แต่เขาก็ไม่ทิ้งพระหรอก เขาไม่ทิ้งพระเด็ดขาด นี่ไง ปัจจัยเครื่องอาศัย เราปากกัดตีนถีบด้วยความวิตกกังวลว่าเราต้องการความมั่นคงของชีวิต แล้วพระล่ะ

ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาพระจำพรรษา ถ้าเกิดภัยแล้งขึ้นมา ถ้าเขาจะย้ายหมู่บ้าน ให้พระย้ายตามชุมชนนั้นไปได้ ไม่ขาดพรรษา ให้ย้ายไปได้ เพราะสมัยโบราณเทคโนโลยีมันยังไม่เจริญ มันเป็นข้อเท็จจริงทั้งนั้นแหละ แต่สมัยนี้ ความมั่นคงทางอาหาร มีคลังอาหารเก็บไว้ ทุกอย่างบริหารจัดการ เขาว่า โอ๋ย! โลกนี้เจริญ เวลาเกิดภัยพิบัติขึ้นมา คลังอาหารนั้น เขาเดินขบวน เขาจะไปแย่งชิงกัน เพราะคนที่มีความไม่เป็นธรรม นี่พูดถึงว่าความคิดทางโลก

ถ้าความคิดทางธรรมๆ เราปฏิบัติของเรา ในพรรษาเราก็เข้มข้นเข้มงวดกับเราเพื่อจะแสวงหาคุณงามความดี คนที่มีสติปัญญาเขาจะหยิบฉวยด้วยมรรคด้วยผล ออกพรรษาแล้ว ออกพรรษาแล้วมันผ่อนคลาย ผู้ที่เดินทาง ผู้ที่ต่างๆ มันสะดวกสบาย แต่เราก็ต้องเข้มข้นในตัวของเรา เวลาข้าวกินทุกวัน ลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นตาย นี่ก็เหมือนกัน คุณงามความดีของเรา เราต้องทำตลอดเวลา สติปัญญาของเรา เราต้องฝึกฝนตลอดเวลา

ถ้าเราปล่อยไปแล้ว ดูสิ คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยแล้วรักษา แล้วเขารักษาไม่ต่อเนื่อง เวลาไข้ไม่หาย ไข้มันกลับมา มันดื้อยา มันมีปัญหาในการรักษาเลย กิเลส กิเลสเราคอยควบคุมมัน คอยดูแลมัน คอยพิจารณามันตลอดเวลา เวลาออกพรรษาแล้วจะปล่อยมันใช่ไหม ปล่อยมันให้ฟูขึ้นมาเลย แล้วเดี๋ยวไปสู้กับมันใหม่ใช่ไหม คนโง่ คนฉลาดต้องคิดตรงนี้

ความเพียรๆ ความวิริยะ ความอุตสาหะ การกระทำเพื่อหัวใจดวงนี้ทั้งนั้น เราทำเพื่อหัวใจของเรา ทำเพื่อเรา ไม่ใช่ทำเพื่อใครเลย จะขยันหมั่นเพียร จะทำอะไรก็เพื่อหัวใจดวงนี้ เพื่อประโยชน์กับเรา ทำเพื่อใจของเราให้ใจเราผ่องแผ้ว มนุษย์เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร เอวัง